การเขียนรายงานเชิงวิชาการที่ดี
เรียบเรียงโดยนาลิน คงชูดี
รายงานทางวิชาการ หมายถึง งานเขียนทางวิชาการที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ โดยศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร จากการสำรวจ การสังเกต การทดลอง ฯลฯ แล้วนำมารวบรวมวิเคราะห์ เรียบเรียงขึ้นใหม่ ตามโครงเรื่องที่ได้วางไว้ โดยมีหลักฐานและเอกสารอ้างอิงประกอบ
ส่วนประกอบของการเขียนรายงานเชิงวิชาการ
รายงานเชิงวิชาการมีส่วนประกอบที่สำคัญ ๓ ส่วน คือ ส่วนนำ ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนท้าย มีรายละเอียดดังนี้
1.
ส่วนนำ ประกอบด้วย
1.1 ปกนอก คือ
ส่วนที่เป็นปกหุ้มรายงานทั้งหมด มีทั้งปกหน้า
และปกหลังกระดาษที่ใช้เป็นปกควรเป็นกระดาษแข็งพอสมควร สีใดก็ได้
ข้อความที่ปรากฏบนปกนอกดูได้ตามตัวอย่างที่ได้แสดงไว้
1.2 ใบรองปก คือ กระดาษเปล่า ๑
แผ่น อยู่ต่อจากปกนอก เพื่อความสวยงาม
และเป็นเครื่องช่วยป้องกันไม่ให้เสียหายถึงปกใน หากปกฉีกขาดเสียหายไป
1.3 ปกใน คือ
ส่วนที่อยู่ต่อจากปกนอก นิยมเขียนเหมือนปกนอก
1.4 คำนำ คือ
ส่วนที่อยู่ถัดจากหน้าปกใน ผู้เขียนรายงานเป็นผู้เขียนเอง โดยกล่าวถึงวัตถุประสงค์
และขอบเขตของรายงาน อาจรวมถึงปัญหา อุปสรรคในการศึกษาค้นคว้าทำรายงาน
ตลอดจนคำขอบคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในการรวบรวมข้อมูล หรือการเขียนรายงาน
(ถ้ามี) ให้ลงท้ายด้วยชื่อผู้จัดทำรายงาน หากมีหลายคนให้ลงว่าคณะผู้จัดทำ
และลงวันที่กำกับ
1.5 สารบัญ คือ
ส่วนที่อยู่ต่อจากหน้าคำนำ ในหน้าสารบัญจะมีลักษณะคล้ายโครงเรื่องของรายงาน
ทำให้ผู้อ่านได้ทราบว่า ขอบเขตเนื้อหาของรายงานครอบคลุมเรื่องใดบ้าง
ในหน้านี้ให้เขียนคำว่า สารบัญไว้กลางหน้า ข้อความในหน้าสารบัญจะเริ่มต้นจากคำนำ
หัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง และหัวข้อย่อย ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญ ๆ ของรายงาน
เรียงตามลำดังเรื่อง และท้ายสุดเป็นรายการอ้างอิงที่ใช้ประกอบการเรียบเรียงรายงาน
ข้อความในหน้าสารบัญ ควรเขียนห่างจากขอบซ้ายของหน้ากระดาษประมาณ ๑.๕ นิ้ว
และด้านขวาจะมีเลขหน้าแจ้งให้ทราบว่าแต่ละหัวข้อเริ่มจากหน้าใด
หน้าสารบัญควรจัดทำเมื่อเขียนรายงานเสร็จแล้ว
เพื่อจะได้ทราบว่าแต่ละหัวข้อเริ่มจากหน้าใดบ้าง
2.
ส่วนเนื้อเรื่อง เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของรายงาน
ผลงานการศึกษาค้นคว้า จะนำมาเสนอตามโครงเรื่องที่ได้กำหนดไว้ โดยก่อนเริ่มต้น
ควรมีการเกริ่นเรื่อง และจบเนื้อเรื่องด้วยบทสรุป
เนื้อหาที่เขียนนั้นจะต้องเขียนอย่างมีหลัดเกณฑ์ หรืออ้างอิงหลักวิชา
แสดงความคิดที่เฉียบแหลมและลึกซึ้ง
ส่วนประกอบที่แทรกในเนื้อหานั้นอาจแบ่งได้ดังนี้
2.1 อัญประภาษ (Quotation) คือ ข้อความที่คัดมาจากคำพูด หรือข้อเขียนของผู้อื่นมาไว้ในรายงานของตน
หรืออีกอย่างหนึ่งว่า "อัญพจน์"
2.2 การอ้างอิงแบบเชิงอรรถ (Footnotes) เชิงอรรถเป็นข้อความซึ่งบอกที่มาของข้อความที่นำมาอ้างประกอบการเขียนรายงาน
หรืออาจจะเป็นข้อความที่ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับคำ หรือข้อความในรายงานก็ได้
ถ้าแบ่งตามประโยชน์ที่ใช้ เชิงอรรถจะมี 3 ประเภทด้วยกันคือ
2.2.1 เชิงอรรถอ้างอิง หมายถึง
เชิงอรรถที่ใช้บอกแหล่งที่มาของข้อความที่นำมาเป็นหลักฐานประกอบการเขียน เพื่อแสดงว่า
สิ่งที่นำมาอ้าง ในรายงานนั้น ไม่เลื่อนลอย และผู้อ่านรายงานจะตัดสินใจได้ว่า
ข้อความที่นำมาอ้างนั้นน่าเชื่อถือเพียงใด ดังตัวอย่าง
พระยาอนุมานราชธน, แหลมอินโดจีนโบราณ (พระนคร : คลังวิทยา, ๒๔๗๙),
หน้า ๓๐๕.
2.2.2 เชิงอรรถอธิบาย หมายถึง เชิงอรรถซึ่งอธิบายความที่ผู้เขียนรายงานคิดว่า
จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน อาจจะเป็นคำนิยม
หรือความหมายของศัพท์ที่ผู้ทำรายงานประสงค์จะให้ผู้อ่านทราบเพิ่มเติมก็ได้
ดังตัวอย่าง
ลัทธิความน่าจะเป็น
หมายถึง ลัทธิความเชื่อหนึ่งที่เชื่อว่า มีความเป็นไปได้ หรือมีทางเป็นไปได้
ที่จะทำนายลำดับก่อนหลัง ที่แน่นอนของ เหตุการณ์
โดยอาศัยประสบการณ์ในอดีตเป็นพื้นฐาน
การอ้างอิงเชิงอรรถของข้อความในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งคัดลอกมาจากหนังสืออีกเล่มหนึ่ง
มีวิธีเขียน 2 แบบ คือ
1.
ถือเล่มเดิมเป็นหลักฐานที่สำคัญ ดังตัวอย่าง
เจือ สตะเวทิน, สุนทรภู่ (กรุงเทพฯ : สุทธิสารการพิมพ์, ๒๕๑๖),
หน้า ๑๒๑, อ้างถึงใน สมบัติ พลายน้ำ,
"ประวัติชีวิตพรสุนทรโวหาร (ภู่)," อนุสรณ์สุนทรภู่
๒๐๐ ปี, จัดพิมพ์โดยสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย
(กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๙), หน้า
๔๙
2.
ถือเอกสารใหม่เป็นหลักฐานที่สำคัญ ดังตัวอย่าง
สมบัติ พลายน้ำ "ประวัติชีวิตพระสุนทรโวหาร (ภู่),"
อนุสรณ์สุนทรภู่ ๒๐๐ ปี, จัดพิมพ์โดยสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย
(กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๙), หน้า
๔๙ อ้างจาก เจือ สตะเวทิน, สุนทรภู่ (กรุงเทพฯ :
สุทธิสารการพิมพ์, ๒๕๑๖), หน้า ๑๒๑
2.3 การอ้างอิงแบบแทรกปนในเนื้อหา
การอ้างอิงแบบนี้เป็นอ้างอิงที่มาของข้อความแทรกไปในเนื้อหาของรายงาน
การอ้างอิงแบบนี้ ได้รับความนิยมมากกว่า การอ้างอิงแบบเชิงอรรถ
เพราะสะดวกในการเขียนมี ๒ แบบ คือ
2.3.1 ระบบนามปี จะระบุชื่อผู้แต่ง ปีที่พิมพ์ และหน้าที่อ้าง เช่น
วรรณคดีเปรียบเสมือนเรื่องแสดงภาพชีวิต คามคิด จิตใจ อุดมคติ หรือความนิยม
ความต้องการของมนุษย์ วรรณคดีในอดีตเป็นเครื่องบันทึกสภาพดังกว่า
เช่นเดียวกับวรรณกรรมปัจจุบันเป็นส่วนบันทึกความเป็นไปในปัจจุบัน
(กุหลาบ
มัลลิกะมาส. ๒๕๒๐ : ๑๕๒-๑๕๓)
2.3.2ระบบหมายเลข จะระบุหมายเลขตามลำดับเอกสารที่อ้างและหน้าที่อ้าง เช่น
อุปมาโวหาร
คือ กระบวนความเปรียบเทียบ ใช้แทรกในพรรณนาโวหาร เพื่อช่วยให้ข้อความแจ่มชัดคมคาย
(๑ : ๑๓๙-๑๔๐)
3. ส่วนท้าย
เป็นส่วนที่ทำให้รายงานน่าเชื่อถือและสมบูรณ์ ประกอบด้วย
3.1 บรรณานุกรม (Bibiogecphy) หมายถึง รายชื่อเอกสารต่างที่ใช้ประกอบในการทำรายงาน
โดยให้รายละเอียดต่างๆ เช่นเดียวกับเชิงอรรถ แต่มีวิธีเขียนที่แตกต่างกันเล็กน้อย
บรรณานุกรมนี้จะเขียนไว้ท้ายเล่ม โดยแยกตามประเภทของเอกสารดังต่อไปนี้
1. โครงสร้างรูปแบบบรรณานุกรมหนังสือ
1.1
การอ้างถึงชื่อผู้แต่ง
1.1.1 ผู้แต่งคนเดียว
1.1.1 ผู้แต่งคนเดียว
1.1.2 ผู้แต่ง
2 คน ให้ใส่คำว่า “และ” เชื่อมระหว่างคนที่ 1 กับคนที่
2
1.1.3 ผู้แต่ง
3 คน ให้ใส่เครื่องหมายจุลภาคคั่นระหว่างคนที่
1 กับคนที่ 2 และใส่คำว่า
“และ” เชื่อมระหว่างคนที่
2 กับคนที่ 3
1.1.4
ผู้แต่งตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ลงเฉพาะชื่อแรก
และตามด้วยคำว่า และคนอื่น ๆ
1.1.5 หนังสือที่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง ให้ใช้ชื่อเรื่องเป็นรายการแรกแทนชื่อผู้แต่ง
1.1.6 ผู้แต่งมีบรรดาศักดิ์ ให้ใส่ชื่อ นามสกุล ตามด้วยบรรดาศักดิ์
2. โครงสร้างและรูปแบบบรรณานุกรมวารสาร
2.1 การเขียนบรรณานุกรมจากบทความในวารสาร มีปีที่ และฉบับที่
3. รูปแบบบรรณานุกรมเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ระบบออนไลน์
(Online) หรืออินเทอร์เน็ต
3.1 เว็บเพจ มีผู้เขียน หรือมีหน่วยงานรับผิดชอบ
หลักการเขียนบรรณานุกรมที่ดียังมีให้ศึกษาอีกมากมาย นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆที่นำมาฝากกันกับชาวสังคมศึกษา หาอ่านเพิ่มเติมที่ ลิงก์นี้ การเขียนบรรณานุกรมการเขียนบรรณานุกรม
แหล่งที่มา
การเขียนบรรณานุกรม http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit5_part13.htm
การเขียนบรรณานุกรม
การเขียนรายงานเชิงวิชาการ (2556). (ออนไลน์) แหล่งที่มา: http://203.172.198.146/other_web/Thai/Thai03/write4.html
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น