สงครามฝิ่น
เรียบเรียงโดยนาลิน คงชูดี
สงครามฝิ่นครั้งที่ 1
สงครามฝิ่นเป็นสงครามระหว่างประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ชิง
ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีน กับอังกฤษ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตก
สงครามฝิ่นเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี ค.ศ.1834-1843
และครั้งที่สองในปี ค.ศ.1856-1860สงครามฝิ่นเป็นผลมาจากการที่จีนไม่ยอมเปิดประตูการค้าเสรีตามความต้องการของชาติตะวันตก
สมัยนั้นจีนทำการค้ากับชาติตะวันตกด้วยระบบการผูกขาดโดยพ่อค้าจีนที่เรียกว่า
ก้งหอง หรือ กงหาง ในภาษาแมนดาริน (จีนกลาง)
และจำกัดขอบเขตการค้าขายอยู่ในเมืองกวางโจว (เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง) ฝ่ายอังกฤษซึ่งดำเนินการค้าโดยบริษัทอินเดียตะวันออก
ขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาลให้แก่จีน เนื่องจากนำเข้าใบชาจากจีนจำนวนมาก
แต่กลับไม่สามารถขายสินค้าให้แก่จีนได้อย่างเสรี
กระทั่งทศวรรษ 1820
บริษัทพบสินค้าใหม่ซึ่งทำกำไรให้งดงาม คือ ฝิ่น ซึ่งปลูกในอินเดีย
(อาณานิคมของอังกฤษ)
ส่งผลให้สถานภาพการเสียเปรียบดุลการค้าของอังกฤษดีขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากกลายเป็นฝ่ายขาดดุลการค้าให้แก่อังกฤษ
รัฐบาลชิงยังตระหนักถึงพิษภัยของการเสพติดฝิ่นของคนจีนในทุกชนชั้น ในปีค.ศ.1838 จึงประกาศห้ามนำเข้าฝิ่น ผู้ฝ่าฝืนมีโทษถึงประหารชีวิตทั้งผู้ค้าและผู้เสพ
แต่ฝิ่นยังคงหลั่งไหลเข้าแผ่นดินจีน ทำรายได้มหาศาลให้ประเทศตะวันตก
จวบจนเดือนมีนาคม ค.ศ.1839
จีนยึดฝิ่นของพ่อค้าอังกฤษจากท่าเรือในกวางโจว อังกฤษขอคืน แต่ถูกปฏิเสธ
ทั้งทางการจีนบังคับให้พ่อค้าอังกฤษลงนามในข้อตกลงไม่ค้าขายฝิ่น พ่อค้าอังกฤษปฏิเสธการลงนามนั้น
รัฐบาลชิงทำหนังสือถึงสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
ถามว่ารัฐบาลอังกฤษห้ามค้าฝิ่นในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ และสกอตแลนด์อย่างเด็ดขาด
โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นการค้าที่ผิดศีลธรรม แต่กลับส่งฝิ่นมาขายในตะวันออกไกล
และทำกำไรมหาศาล อังกฤษตอบว่า
การที่รัฐบาลชิงยึดทรัพย์สินของชาวอังกฤษเป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรม และขอสินค้าคืน
รัฐบาลจีนตอบ โต้ด้วยการทำลายฤทธิ์ฝิ่นที่ยึดได้ก่อนทิ้งลงทะเล
อังกฤษจึงถือเป็นข้ออ้างในการยกกองกำลังปิดล้อมชายฝั่งมณฑลกวางตุ้ง รวมถึงฮ่องกง จีนพ่ายแพ้
ต้องลงนามในสนธิสัญญานานกิง 29 สิงหาคม ค.ศ. 1842 รัฐบาลจีนต้องชดใช้ค่าฝิ่นที่ถูกทำลาย จ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามให้แก่อังกฤษ
และเปิดเมืองท่าชายทะเล 5 แห่ง ได้แก่ กวางโจว เซียะเหมิน
ฝูโจว หนิงโป และเซี่ยงไฮ้
รวมถึงยกเกาะฮ่องกงและเกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่โดยรอบเป็นเขตเช่าของอังกฤษ โดยชาวอังกฤษและคนที่อยู่ใต้อาณัติสามารถอาศัยอยู่โดยได้รับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
และต่อมาในปี 1844
ฝรั่งเศสและอเมริกาได้บีบบังคับให้จีนให้สิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับอังกฤษ
สนธิสัญญานานกิงเป็นสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมฉบับแรกที่มหาอำนาจตะวันตกทำกับจีน
สาระในสัญญามีผลทำให้ระบบการค้าผูกขาดแบบก้งหองถูกยกเลิก การเปิดเมืองท่าในชายฝั่งภาคตะวันออก 5 เมือง พร้อมด้วยท่าเรือในเมืองเหล่านี้มีสถานะเป็นท่าเรือตามสนธิสัญญา
มหา
อำนาจตะวันตกเป็นผู้ประกอบการบรรทุกขนถ่ายสินค้าโดยไม่ต้องจ่ายค่าภาระท่าเรือให้แก่รัฐบาลจีน
อัตราภาษีนำเข้าอยู่ในอัตราคงที่และต่ำมาก ทั้งหมดนี้ทำให้จีนแทบไม่มีรายได้จากการค้ากับชาติตะวันตก
ที่สำคัญ
การนำเข้าสินค้าได้อย่างเสรีมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพื้นบ้านของจีนอย่างรุนแรง
ผลกระทบของสนธิสัญญานานกิงที่จีนจำต้องลงนามเมื่อพ่ายแพ้สงครามฝิ่นครั้งแรก
(ค.ศ.1834-1843)
ในด้านสังคมที่ร้ายแรงที่สุด คือการค้าฝิ่นเป็นเรื่องถูกกฎหมาย
โดยถือว่าเป็นยารักษาโรคและทำได้โดยเสรี ทำให้สังคมจีนอยู่ในสภาพอ่อนแอ
เพราะประชากรจำนวนมากติดยาเสพติด
นอกจากนี้สินค้าราคาถูกที่ผลิตจากเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมจากยุโรปหลั่งไหลเข้าจีน
ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมสิ่งทอ
และก่อให้เกิดปัญหาคนว่างงานจำนวนมหาศาล
สิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ชาวอังกฤษรวมถึงคนในอาณัติได้รับ
ทำให้ชาติตะวันตกแผ่อิทธิพลเข้าในประเทศจีนอย่างกว้างขวาง สภาพดังกล่าวนี้
"เหมาเจ๋อตง" อดีตประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน
วิเคราะห์ว่าทำให้จีนตกอยู่ในสภาพ "กึ่งเมืองขึ้น-กึ่งศักดินา" อีกทั้งยังเป็นแหล่งซ่องสุมมิจฉาชีพและอาชญากร
ทั้งนี้เพราะสามารถกระทำความผิดได้โดยไม่ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายจีน
เพียงแต่หลบเข้าไปอยู่ในเขตที่อยู่ในอิทธิพลตะวันตก
สงครามฝิ่นครั้งที่ 2
สำหรับสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 (ค.ศ.1856-1860) หรือรู้จักกันในชื่อ สงครามแอร์โรว์
(Arrow War) เป็นผลมาจากอังกฤษต้องการเจรจาแก้สนธิสัญญานานกิง
เพื่อให้ตนได้รับประโยชน์จากการค้ามากขึ้น ซึ่งจีนไม่ยอม
ชนวนของสงครามมาจากเจ้าหน้าที่จีนยึดเรือแอร์โรว์
ซึ่งเป็นเรือของชาวจีนแต่จดทะเบียนเป็นเรืออังกฤษ
และจับกุมลูกเรือซึ่งเป็นคนจีนทั้งหมด 12 คน
ด้วยข้อกล่าวหากระทำการเป็นโจรสลัดและลักลอบขนสินค้าเข้าเมือง
อังกฤษเรียกร้องให้จีนคืนเรือและปล่อยตัวลูกเรือทั้งหมด
อ้างว่าเรือดังกล่าวชักธงอังกฤษ
จึงควรได้รับการปกป้องตามสนธิสัญญานานกิงแต่จีนปฏิเสธ
ขณะเดียวกันบาทหลวงฝรั่งเศสถูกฆ่าตาย
อังกฤษและฝรั่งเศสถือเป็นข้ออ้างยกกองเรือมาปิดล้อมเมืองกวางโจว มีรัสเซียและสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตร
จีนพ่ายแพ้อีกครั้ง ต้องลงนามในสนธิสัญญาสงบศึก ณ เมืองเทียนจินในเดือนมิถุนายน
ค.ศ.1858
แต่การสู้รบก็เกิดขึ้นอีกในปี
1859
เมื่อจีนปฏิเสธที่จะให้อังกฤษตั้งสถานทูตในนครหลวงปักกิ่ง
การรบสู้รบเกิดขึ้นทั้งในปักกิ่งและฮ่องกง ก่อนยุติลงเมื่อชาติตะวันตกบุกปล้นวัตถุโบราณและของมีค่าแล้วเผาพระราชวังฤดูร้อน
2 หลัง คือ ชิงอี และหยวนหมิงหยวน ช่วงวันที่ 18-19 ตุลาคม 1860
จีนยอมจำนนด้วยเกรงว่าจะถูกบุกยึดพระราชวังต้องห้ามที่ปักกิ่ง
โดยลงนามยุติการสู้รบกับอังกฤษวันที่ 24 ตุลาคม 1860
ผลของสนธิสัญญาเทียนจิน ค.ศ.1842 ที่รัฐบาลชิงจำยอมลงนามกับมหาอำนาจตะวันตก 4 ชาติ
ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา
ทำให้จีนต้องเปิดเมืองท่าชายเพิ่มขึ้น 11 แห่ง
ชายฝั่งตะวันออกถูกเปิดกว้างให้มหาอำนาจตะวันตกค้าขายได้อย่างเสรีภายใต้ระบบการค้าเมืองท่าตามสัญญา
โดยเสียภาษีนำเข้าไม่เกินร้อยละ 2.5 มหาอำนาจตะวันตกทั้ง 4 ชาติ มีสิทธิจัดตั้งสถานกงสุลในนครหลวงปักกิ่ง
และกองทัพเรือของชาติเหล่านี้สามารถผ่านเข้าออกแม่น้ำฮวงโหได้อย่างเสรี
ชาวตะวันตกสามารถเดินทางเข้าไปยังตอนในของแผ่นดินจีนได้อย่างเสรี
และจีนต้องจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส
อีกทั้งจ่ายค่าชดใช้ค่าเสียหายให้แก่พ่อค้าอังกฤษ ส่วนข้อตกลงปักกิ่ง ค.ศ.1860 ที่จีนทำกับอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย
ทำให้สัญญาเช่าพื้นที่ตอนใต้ของคาบสมุทรเกาลูน (ปัจจุบันคือถนน Boundary) ซึ่งอังกฤษลงนามขอเช่าจากจีนในเดือนมีนาคม 1860
สิ้นสุดลง และต้องยกพื้นที่บริเวณนี้ให้อยู่ในอาณัติของอังกฤษรวมกับเกาะฮ่องกง
(รวมถึงเกาะ Stonecutters) เปิดเมืองเทียนจินให้เป็นเมืองท่าตามสัญญาเพิ่มอีก
1 เมือง จ่ายค่าปฏิกรณ์ สงครามเพิ่มเติมจากสนธิสัญญาเทียน
จินในปี 1898
อังกฤษทำข้อตกลงปักกิ่งครั้งที่ 2 ขอเช่าพื้นที่ทางตอนใต้ของลำน้ำเสิ่นเจิน
(ปัจจุบันคือซินเจี้ย)
ส่งผลให้อังกฤษได้ครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่กว่าเมื่อครั้งอังกฤษเข้ายึดครองเมื่อชนะสงครามฝิ่นครั้งที่
1 เกือบสิบเท่า
โดยพื้นที่ทั้งหมดเป็นเขตเช่าของอังกฤษเป็นเวลา 99 ปี (ค.ศ.1898-1997)
แหล่งที่มา
www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น